วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กำศรวลมหาดไทย หรืออวิชชา ปรมาลาภา version 2

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ
อวิชชา ปรมาลาภา = ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

อวิชชา ไม่ได้แปลว่างี่งั่ง หรือ โง่เง่าเต่าตุ่น นะครับ อวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง หรือรู้ผิดๆ ตามที่ท่านป. ปยุตโต พรรณนา ไว้ดังนี้

1. ไม่รู้ในทุกข์ 2. ไม่รู้ในทุกขสมุทัย 3.ไม่รู้ในทุกขนิโรธ 4. ไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

กล่าวสั้นๆ คือไม่รู้ในอริยสัจ 4 นั่นเป็น อวิชชา 4 + เข้าไปอีก 4 ก็เป็นอวิชชา 8 ดังนี้

5. ไม่รู้ในส่วนอดีต 6.ไม่รู้ในส่วนอนาคต 7.ไม่รู้ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต 8. ไม่รู้ในธรรมทั้งหลายที่อาศัยกันจึงเกิดมีขึ้นตามหลักอิทัปปัจจยตา

บุคคลตกอยู่ในความประมาท โลภ-โกรธ-หลง-และตัณหาทั้งปวงก็เพราะความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง

อวิชชาทั้ง 8 สามารถนำมาประยุกต์อธิบายการเมืองไทยที่เป็น “สมบัติผลัดกันชม” ได้เป็นอย่างดี

ผมขอมอบบทความนี้แด่อดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน และนพ.ประเวศ วะสี

กัลยาณมิตรคนหนึ่งของท่านทั้งสอง เมื่อได้ดูรายการทีวีของ “คำผกากับคำรณ คุณะดิลก” แล้ว อดรนทนไม่เขียนไม่ได้

I could not watch it in its entirety. As long as the Dok Thong camp continues to talk about killing from ONE side, it's no use arguing with them. Kamron should have declined to take part: he was bored stiff.

I am having similar feelings with both Khun Anand's and Moh Prawes's committees. Some of the members are known to be downright IMMORAL in their private lives: the media cannot distinguish between rogues and virtuous people, because the media themselves are filled with rogues.

ผมเองต้องสารภาพว่าเบื่อหรือ bored stiff กับสถานการณ์และพฤติกรรมของรัฐบาล

มรดกอุบาทว์หรืออวิชชาที่รัฐบาลฝังหัวราษฎรไทยไปเรียบร้อยแล้วก็คือ คณะรัฐมนตรีไม่มีความรับผิดชอบร่วมเพราะแบ่งกระทรวงให้แต่ละพรรคไปแล้ว การชุมนุมประกาศฆ่านายกรัฐมนตรีและรวบรวมขวด 1 ล้านใบเอามาใส่น้ำมันเผากรุงเทพฯ เป็นการใช้เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย หนังสือที่สำนักราชเลขาธิการส่งมาให้ครม.ทบทวนการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยขาดธรรมาภิบาลไม่จำเป็นต้องทบทวน ให้คอยเฉพาะผลร้องเรียนเรื่องคอร์รัปชันการสั่งซื้อคอมพิวเตอร์เรื่องเดียวก็พอ

เรื่องการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอขาดธรรมาภิบาล+เรื่องเลื่อนชั้น 41 นายอำเภอ 9 เป็นโมฆะ+เรื่องตั้งปลัดกระทรวงชะงัก เป็นความ(ไม่)รับผิดชอบคนละเรื่องกับการลัดคิว ครม.ตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด 48 นายโดยผู้บริหารกระทรวงคณะเดียวกัน ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทยที่มีผู้ชักใยต้องห้ามทางการเมือง ฯลฯ

ผมอยากให้คุณอานันท์ หมอประเวศ กับนายกรัฐมนตรีมองเห็นอริยสัจ 4 และอิทัปปัจจยตาแห่งการเมืองไทยว่าท่านได้มานั่งอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญของพี่น้องร่วมชาติทุกวันนี้ด้วยและเพื่ออะไร

ผมอยากให้ท่านศึกษา “บุรีรัมย์โมเดล” เพราะมีคนต่างชาติเห็นแล้วว่าบุรีรัมย์โมเดล เหมือนกับ “ฮุนเซนโมเดล”

โปรดกด google ดูฮุนเซนโมเดล ใน Country For Sale กับ Cambodia’s Family Trees โดย Global Witness

ส่วน Buriram Model ซึ่งคล้ายกันแต่ย่อส่วนเล็กลงมาอยู่ใน Southeast Asian Affairs 2008 โดย Tin Maung Maung Than

ตอนที่ Tin Maung เขียน อภิสิทธิ์ยังเป็นฝ่ายค้าน และเนวินยังมิได้ปราบดาฯ

บุรีรัมย์โมเดล (Tin Maung) มีลักษณะดังนี้ 1. เขมือบงบทุกอย่าง 2. ใครขัดขวางจงระวัง 3. โกงเลือกตั้งทุกระดับ 4. งุบงิบทรัพยากรชาติ 5. สามารถอุปถัมภ์ข้ามกระทรวง

ข้อมูลดิบบุรีรัมย์ ที่ผมได้รับมา ขอส่งต่อให้รัฐบาล สภาฯ สื่อ นักวิชาการ และหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบ จริงหรือเท็จ

1. ปี 2534 วิศวกรโยธา จ.บร. ซี-4 ไม่ยอมตรวจรับงาน ถูกอุ้มหายไม่เจอศพ 2538 โยธาธิการจังหวัด ถูกยิงตายบนบ้าน 13 ตุลาคม วันตำรวจ เพราะไม่ยอมตรวจรับงาน

2. ปี 2539 ผู้ใหญ่บ้าน กิ่ง อ.บ้านด่าน ไม่ยอมร่วมมือโกงเลือกตั้ง ถูกอุ้มหาย ลูกชายคหบดี อ.กระสัง จบปริญญาโท จะลงแข่ง ส.ส.ไม่ยอมเข้าคอก ถูกยิงด้วยอาก้าที่หน้าบ้าน จับคนร้ายไม่ได้

3. นายปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ ถูกลอบยิง 18 ธ.ค. 42

4. นายเกษม วัฒนธรรม ปัจจุบันรองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน อดีตนายอำเภอแหวนเพชร ที่ปรึกษาข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติในกัมพูชา และอาคันตุกะพิเศษรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ถูกข้ามหัวและแช่แข็ง เพราะในฐานะประธาน กกต.บุรีรัมย์ได้ออกใบแดงให้ภริยาและบริวารของนายเนวิน

5. 2550-2551 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ตั้งกรรมการตรวจสอบนายชัย ชิดชอบและพวกดำเนินคดีการฮุบที่รถไฟ (เขากระโดง) และการรุกที่สาธารณะ158 ไร่ ที่อ.สตึก บร. ทั้งพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบก.ตร.และพ.ต.อ.สังวร ภู่ไพจิตกุล ผู้สอบปากคำถูกปลดและย้ายตามๆ กัน ทั้ง 2 คดีอัยการสั่งไม่ฟ้อง

6. คนดีศรีบุรีรัมย์ พล.ต.ต.สมบัติ ชาวบุรีรัมย์ขึ้นแทนพล.ต.ต.สมหมาย ตระกูลเสี่ยเกี้ย เรืองสุขศรีวงศ์ ขึ้นเป็นอธิบดีกรมทางหลวง นายระพี ผ่องศุภกิจ น้องชายนักธุรกิจใหญ่บุรีรัมย์ อดีตรองผู้ว่าฯ อุทัยธานี 2552 ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ นครราชสีมา จังหวัดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยเพื่อตีกันผู้ใหญ่ขอ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล (ที่ต้องไปเชียงใหม่) นายมานิต วัฒนเสน อดีตปลัดกระทรวงคิก...คิกและนายมงคล สุระสัจจะ นายเสริม ไชยณรงค์ ล้วนแต่คอกเดียวกันทั้งสิ้น

ถามว่าอะไรเล่าที่กล่าวมา จะมิใช่ธรรมทั้งหลายที่อาศัยกันจึงเกิดมีขึ้นตามหลักอิทัปปัจจยตา เช่นเดียวกับการแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดปีนี้

การแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด 2553

ผู้ใดมีอิทธิพลเหนือตำรวจ-ทหาร และข้าราชการมหาดไทย ผู้นั้นย่อมมีอำนาจสูงสุดในการเมืองไทย อำนาจสูงสุดนำไปสู่คอร์รัปชันสูงสุด

ถามว่าอภิสิทธิ์กับเนวินใครมีอำนาจมากกว่ากัน คำตอบจะหาได้จากผลสรุปสุดท้ายของการตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในปีนี้

1. ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2548 นายถาวร เสนเนียม ปัจจุบัน มท.3 ประชาธิปัตย์ได้ฟ้อง กกต.ว่านายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งขณะนั้นเป็น รมช.กระทรวงเกษตรฯ ทุจริตการเลือกตั้งด้วยการหว่านล้อมให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง สงขลา และสตูลช่วยเหลือพรรคไทยรักไทย และสัญญาจะตอบแทนอย่างสูงสุดหนึ่งในนั้น คือ นายมานิต วัฒนเสน ถูกจับเข้ากรุผู้ตรวจราชการกระทรวง

2. ปี 2552 นายมานิต วัฒนเสน เป็นผู้ว่าฯ ขอนแก่น นายมงคล สุระสัจจะเป็นผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ทั้งคู่ fast track หรือแหกลู่ออกมาเป็นอธิบดีระยะสั้นมากๆ นายมานิตขึ้นเป็นปลัดกระทรวงปี 2553 ข้ามหัวอดีตผู้บังคับบัญชาที่เป็นผู้ว่าฯ และอธิบดีตั้งแต่นายมานิตเพิ่งจะเป็นซี 8 ทำให้รองปลัดฯ อธิบดี และผู้ว่าฯ หลายคนไม่ยอมเข้าประชุมกับนายมานิตตลอดสมัย

3. มิถุนายน 2553 นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิพาณิชย์ ถูกเด้งสายฟ้าแลบจากอธิบดีกรมการปกครองเพื่อเปิดทางให้นายมงคล กันยายน 2553 ครม.อนุมัติให้นำชื่อนายมงคล ขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นปลัดกระทรวง สำนักราชเลขาธิการส่งเรื่องคืนให้ ครม.ทบทวนเพราะมีการถวายฎีกาประกอบกับความเห็นขององคมนตรี ต่อมานายมงคลถูกร้องเรียนทุจริตเรื่องจัดซื้อคอมพิวเตอร์ การที่นายชวรัตน์ มท.รับรองว่าเป็นคนดีมีความสารถไม่เคยถูกสอบหรือร้องเรียนจึงเป็นความเท็จ (เช่นเดียวกับกรณีของนายมานิต) ซึ่งแสดงว่า รมว.มหาดไทยและปลัดกระทรวงประมาทเลินเล่อไม่รอบคอบเรื่องที่นำทูลเกล้าฯ

4. ชวรัตน์-มานิตและศักดิ์สยาม ชิดชอบ ทำการบริหารบุคลากรบกพร่องขาดธรรมาภิบาล ผิดกฎหมายและไร้คุณธรรมมาแล้วในกรณีสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ และก.พ.ค.สั่งการตั้ง 41 นายอำเภอซี 9 เป็นโมฆะ เมื่อปลัดอำเภอจากบุรีรัมย์สอบได้หมดมากเป็นที่ 1 ของประเทศถึง 17 นาย ในขณะที่ 3 จังหวัดใหญ่ได้ที่ 2 จังหวัดละ 7 รายเท่านั้น คือ ขอนแก่น นครราชสีมา มีรมช.จากพรรคภูมิใจไทย สงขลามี รมช.ถาวร เสนเนียม พรรคประชาธิปัตย์ ย่อมประจานความเป็นไปไม่ได้เชิงวิชาการสถิติและความสุจริตเที่ยงธรรม สมควรตรวจสอบการเล่นพวกและซื้อขายตำแหน่งให้ได้

5. การแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งๆ ที่ถูกจับตาไว้ล่วงหน้าและมีกรณีการส่งคืนจากสำนักราชเลขาธิการแต่ก็หาได้นำให้ รมว.กระทรวงมหาดไทยหรือครม.สำนึกไม่ ฝ่ายหนึ่งต้องการสำแดงอำนาจเอาแต่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งประมาทเลินเล่อและไม่กล้าตรวจสอบ หากจะเอากรณี ก.พ.ค.ยกเลิกการตั้งนายอำเภอซี 9 เป็นบรรทัดฐาน จะเห็นว่าการแต่งตั้งผู้ว่าราชจังหวัดกลับบกพร่องยิ่งกว่า เช่น ขั้นตอนไม่ครบ ข้อมูลเปรียบเทียบไม่มี เวลาพิจารณาไม่พอ เกณฑ์ที่ตั้งไว้มิได้นำมาปฏิบัติ ยังผลให้รองผู้ว่าราชการอาวุโสที่มีประสบการณ์ดีเด่นสอบเข้าโรงเรียนต่างๆ ได้ก่อน ผ่านอำเภอ ปลัดจังหวัดและรองผู้ว่าฯ มาหลายจังหวัด มีผลงานทั้งระดับประเทศ ภูมิภาคและนานาชาติ เช่น นายเกษม วัฒนธรรมและนายสุรชัย ศรีสารคาม เป็นต้น ต้องถูกข้ามไปโดยผู้ด้อยอาวุโสที่มาจากบุรีรัมย์โมเดล

ผมขอแนะนำให้บุคคลเหล่านั้นซึ่งมีหลายสิบคนลุกขึ้นมาร้องเรียนหรือให้ปากคำ เพราะการอยู่นิ่งเฉยของท่านจะเป็นการสมยอมให้กระทรวงมหาดไทยและประเทศชาติถูกทำลาย

1.ให้คณะกรรมการปฏิรูป คณะกรรมการหรือกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลและวินิจฉัยว่ามีการแทรกแซงทำลายความเป็นกลางของข้าราชการมหาดไทยเพื่อผลทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งและการใช้งบประมาณหรือไม่

2.ให้ประชาชนหรือองค์กรที่สนใจร้องเรียนและใช้สิทธิตามกฎหมายเสรีภาพข่าวสาร ขอดูข้อมูล สถิติและขั้นตอนที่นำมาสู่การตัดสินใจเรื่องการโยกย้ายแต่งตั้งและเลื่อนชั้นในกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่เจ้าหน้าที่ประจำ เจ้ากระทรวงจนถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี

3. ให้มีการคุ้มครองผู้ให้ปากคำซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ผู้ได้รับหรือเสียประโยชน์จากการแต่งตั้งแต่ละครั้ง อันนี้อาจนำไปสู่การสังคายนาปรับปรุงกระทรวงอย่างจริงจังครั้งใหญ่ได้

4. เรียกร้องให้มีการนำรัฐธรรมนูญ ม. 279 มาบังคับใช้ มาตรา 279 กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฯลฯ ให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมที่กำหนดขึ้น

“การพิจารณา สรรหา กลั่นกรอง หรือแต่งตั้งบุคคลใดเข้าสู่ตำแหน่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งการโยกย้าย การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน และการลงโทษบุคคลนั้นจะต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลดังกล่าวด้วย”

มาตรฐานทางจริยธรรมตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีกลไกและระบบในการดำเนินงานเพื่อให้การบังคับใช้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งกำหนดขั้นตอนการลงโทษตามความร้ายแรงแห่งการกระทำ

การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดทางวินัย ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามฯลฯ หากเป็นการกระทำผิดร้ายแรง ฯลฯ ให้ถือเป็นเหตุที่จะถูกถอดถอนจากตำแหน่งตามมาตรา 270

นายกฯ อภิสิทธิ์ อดีตนายกฯ อานันท์ และหมอประเวศ มีอำนาจหน้าที่และบารมีที่จะคลายปมเรื่องนี้โดยสันติได้หากท่านยังไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หรือไม่ทำอะไรระวังเรื่องนี้จะกลายเป็น “ทุ่งใหญ่นเรศวร” ที่นำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"เนวิน ชิดชอบ"ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒

http://www.thaipost.net/news/160209/377

เปลว สีเงิน 16 กุมภาพันธ์ 2552 - 22:11

ระวังนะครับ "เรื่องร้อน" จะเป็นตัวนำความเปลี่ยนแปลงมาให้ ฉะนั้น ใจร้อน ไฟร้อน น้ำร้อน อารมณ์ร้อน อากาศร้อน คำพูดร้อน เงินร้อน การบ้าน-การเมืองร้อน สรุปว่า อะไรที่ในร้อนๆ ละก็ สังวรณ์กันไว้หน่อยแหละดี ถ้ายังสงสัยว่า อะไรบ้างที่เข้าข่ายอยู่ในเรื่อง "ร้อน" ท่านที่ได้รับหนังสือสวดมนต์ฉบับสมบูรณ์ไป พลิกที่หน้า ๖๖ "อาทิตตปริยายสูตร" อ่านก็ได้ สวดก็ได้ หรือจะทั้งอ่าน-ทั้งสวดยิ่งดีใหญ่ ตื่นเช้าเอาน้ำลูบหน้า ตกบ่ายเอาน้ำลูบอก ตกเย็นเอาน้ำลูบเท้า ก่อนนอนก็สวดมนต์ไป ท่านว่าประสิทธิเม นักแล

ครับ ก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไรเหมือนกัน พอนิ้วจิ้มแป้นอักษร ก็เหมือนเล่นผีถ้วยแก้ว มันไปของมันเอง เอาอย่างนี้ดีกว่า ขอชี้แจงแถลงไขกับท่านที่ขัดอก-ขัดใจเรื่องตัวหนังสือที่กระจิริดกระจ้อยร่อย เหมือนเป็นโรคขาดอาหารซักหน่อย เพราะมีท่านที่อดรนทนไม่ไหวโทร.มาต่อว่าต่อขาน จะทรมานสายตาคนสาวน้อย-หนุ่มน้อยไปถึงไหนกัน ขอรับผิดแบบหน้าชื่น-อกตรมครับ อย่างที่บอกนั่นแหละ เผอิญเครื่องคอมพ์ตัวเก่า-ระบบเก่าของผมสิ้นอายุขัย เขาเอาเครื่องใหม่-ระบบใหม่มาให้ใช้ ก็ด้วยความที่เป็นคน "ไม่ชินของใหม่" ก็เลยกะไม่ถูกว่าที่เขียนไปมันจะสั้น จะยาวขนาดไหน ตกเข้าวันนี้เป็นวันที่สาม คิดว่าน่าจะพอคลำระบบใหม่งูๆ ปลาๆ ได้เข้าที่เข้าทางบ้างหรอก

เรื่องที่พรรคเพื่อทักษิณเขาจะเสนอร่าง พ.ร.บ.ทำลายความปรองดองแห่งชาตินั่นน่ะ วานนี้มีท่านหนึ่งอีเมล์เข้ามาถึงผม ก็ดีใจว่ามีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็น แต่เขาคิดเห็นอย่างนี้ครับว่า ขอถามคำที่เห็นว่าสมควรนิรโทษกรรม ๑๐๘ คน นั้น รวมถึงคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ คนดีของผมด้วยใช่ไหม ไม่เชื่อทุกเรื่องที่ผมเขียนหรอก อืมมมม..ก็แปลก ในความคิดของคนด้วยการจับจ้อง-เจาะจง ขอตอบว่า "ใช่ครับ" ใครก็ตามในจำนวน ๑๑๑ คน นอกเหนือจากที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า "เป็นตัวการ" ทำผิดในการจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง ๓-๔ คนครั้งนั้น เมื่อแยกคนผิดไปดำเนินคดีแล้ว ที่เหลืออีก ๑๐๘ คน ซึ่งไม่มีความผิด อันมีคุณสุวัจน์ที่เหมือนญาติ-เหมือนน้องของผมรวมอยู่ด้วย "ทุกคน" สมควรได้รับการพิจารณาถึงความเป็นธรรมครับ

นี่คือความเห็นผม และความเห็นก็คือความเห็น ไม่ใช่ข้อความโฆษณาขายสินค้าชวนเชื่อ ฉะนั้น ดีแล้วที่คุณบอกว่าไม่เชื่อทุกเรื่องที่ผมเขียน แสดงว่าสมองคุณมีมันสมอง ไม่ใช่กระดาษซับ ถ้าทรัพยากรบุคคลมีสติ-ปัญญาสนองตอบความรับรู้และใช้ในลักษณะรู้จักการแยะแยะมากๆ

ประเทศไทยเรา "ไปรอด" แน่อนอนครับ!

เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๔ กุมภา.มีปรากฏการณ์ทางความรักหลายเรื่อง เรื่องแรก พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เขาไปจัดงานขชุมนุมความรักคนเสื้อเหลืองกันที่อุดรธานี และทาง นปช.เขาก็จัดชุมนุมความรักคนเสื้อแดงกันที่วัดไผ่เขียว ทางย่านดอนเมือง อยู่ตรงไหนผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน และตอนค่ำ พ.ต.ท.ทักษิณก็โฟนอินจากสถานที่อันไม่เปิดเผยแห่งหนึ่งถึงสาวกในวงชุมนุม

ในวันเดียวกัน พรรคภูมิใจไทย เขาก็จัดประชุมเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคกันที่อาคารกีฬาเวสน์ ย่านดินแดง ปรากฏว่าได้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค นางพรทิวา นาคาศัย เป็นเลขาฯ พรรค เอาเรื่องแรกก่อนนะครับ การที่พันธมิตรฯ ไปจัดงานกันได้ที่อุดรธานี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ในแดนเหนือ-แดนอีสาน อย่าว่าแต่พันธมิตรฯ เลย ขนาดนายกฯ หรือรัฐมนตรีคนไหนลงไปเหยียบ เป็นต้องถูกคนเสื้อแดงไล่ตี ไล่ต้านกระเจิดกระเจิง ปรากฏการณ์ครั้งนี้ แสดงถึงความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า

แท้จริงแล้ว คนไทยทุกคน ไม่ว่าในภาคไหน-ส่วนไหนของประเทศ ถึงใครจะสวมเสื้อสีอะไร ก็ไม่ได้จริงจัง เอาเป็นเอาตาย "คล้ายแยกประเทศกันอยู่" ย่อมไปมาหาสู่กันได้ตามปกติ แต่ที่คล้ายกับว่าประชาชนในภาคอีสาน-ภาคเหนือต่อต้านรัฐบาล หรือมีปฏิกิริยาเป็นศัตรูกับคนเสื้อเหลืองนั้น

ก็แค่ "การจัดตั้ง" ของคนบางคน และบางกลุ่มเท่านั้น!

ประเด็นต่อมา การที่เมื่อก่อนเสื้อเหลืองไปไม่ได้ เป็นต้องถูกเสื้อแดงไล่ตี ไล่ฆ่า แต่เมื่อวันเสาร์ เสื้อเหลืองก็ไม่ถูกเสื้อแดงไล่ตี ไล่ฆ่า

นั่นคือคำตอบว่า เหตุร้าย-เหมือนบ้านเมืองแยกฝ่าย-แยกประเทศนั้นตัวการใหญ่ที่ปล่อยให้เป็นไปคือ

"คนใน" อำนาจรัฐ นั่นเอง ไม่ใช่ชาวบ้าน-ประชาชนโดยตรง ชาวบ้านเป็นเพียง "เครื่องมือ" ของคนในระบบรัฐ หรือพูดให้ตรงชัดลงไปคือ ตั้งแต่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการจังหวัด ผู้กำกับ องค์การปกครองพื้นที่ หรือบางพื้นที่ รวมถึงทหารบางคนด้วย
ถ้าคนในอำนาจรัฐ เคร่งครัด ซื่อตรงต่ออำนาจในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ และสังคม ผู้ว่าฯ-ตำรวจ-การเมืองท้องถิ่น-ทหาร "ไม่ฝักไฝ่" ฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดชนิดลืมประเทศชาติ ชาวบ้านซึ่งรวมตัวกันได้เป็นพัน-เป็นหมื่นนั้น ถึงรวมตัวได้ แต่จะไม่สามารถก่อจลาจลไล่ตี ไล่ฆ่า ชนิดผิดกฎหมายเกิดขึ้นได้

ก็เพราะ "ตัวการใหญ่" ในพื้นที่ไม่กี่คน ภายใต้การยักคิ้ว-หลิ่วตาของคนในระบบอำนาจรัฐหรอก จึงสามารถเหิมเกริม กระทำการเหมือน "อยู่เหนือกฎหมาย" ได้ โดยไม่ถูกจับกุม และสถานการณ์ไม่ถูกควบคุมจริงจัง!

หลังรัฐบาลปรับหัวขบวนระบบข้าราชการในมหาดไทย และหลังจากมีการสับเปลี่ยน-โยกย้าย ระดับนายตำรวจคุมภาค คุมพื้นที่จากตำรวจ-ผู้ว่าฯ ฝักใฝ่ในอำนาจทักษิณออกไป ภาคอีสาน-ภาคเหนือ ก็คืนสภาพเป็นผืนดินของประเทศไทย ของคนไทยทุกคน สามารถไปมาหาสู่กันได้ตามปกติ ไม่ว่าใครจะสวมเสื้อสีไหน แต่ใจสวมเสื้อสีไตรรงค์เดียวกัน

"หัวไม่ส่าย หางย่อมไม่กระดิก" เหตุการณ์ ๑๔ กุมภา.ที่อุดรฯ เป็นตัวพิสูจน์ ชาวบ้านไม่มีความแตกแยก ถึงมีกลุ่มจัดตั้งออกมาต่อต้าน แต่เมื่อระบบรัฐ "ผู้ว่าฯ-ตำรวจ" ไม่ยักคิ้วหลิ่วตา ทุกอย่างก็สามารถควบคุมการต่อสู้ทางความคิดเห็นของประชาชนที่เห็นต่างกันได้ โดยไม่ต้องปะทะฆ่าแกงกัน

พี่น้องที่อุดรฯ ตอนนี้ คงเข้าใจดีแล้วว่า การปล่อยให้คนบางพวก-บางกลุ่มทำตัวเป็น "เจ้าพ่อคุมเมือง" นั้น เป็นผลเสียกับธุรกิจการค้า การทำมาหากินในจังหวัดขนาดไหน คนเรานั้น แตกต่างกันได้ แต่อย่าแตกแยก ประเทศไทยเมื่อไม่แตกแยก สิ่งเห็นชัดๆ การที่คนเสื้อเหลืองต่างพื้นที่เป็นพัน-เป็นหมื่นไปร่วมสานเสวนาภาษาการบ้าน-การเมืองกันวันนั้น และเสื้อแดงก็แค่ต่อต้านให้เห็นเป็นกิริยา แต่ไม่ถึงขั้นไล่ฆ่า-ไล่ตีนั้น


ทั้งเหลือง-ทั้งแดง ช่วยทำให้ธุรกิจการค้า ตั้งแต่สามล้อ แม่ค้า ขึ้นไปถึงโรงแรมในอุดรฯ และจังหวัดใกล้เคียง ตลอดรายทาง "ทำมาค้าคล่อง" ขึ้นทันตาเห็นมิใช่หรือ?

มาถึงด้านการชุมนุมของเสื้อแดงที่วัดไผ่เขียว ดอนเมือง ถือเป็นพัฒนาการทางการเมืองของคนเสื้อแดง หรือพูดตรงๆ ก็คือคนไทยด้วยกันกับเสื้อเหลือง หรือเสื้อไหนๆ ในทุกสี อย่างนี้ดีแล้วครับ การแสดงออกทางการเมือง โดยไม่ทำความเดือดร้อน-รำคาญ อันเป็นการรานสิทธิของคนอื่น จัดกันเป็นที่เป็นทาง

อย่างนี้ จัดกันทุกวันยิ่งดี จะได้กระตุ้นต่อมประชาธิปไตย และค่อยๆ ตะล่อมให้ตรงทิศ-ถูกทางของมัน
และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินถึงสาวก ก็ไม่แปลก ตราบใดที่คำพูดจากการโฟนอิน นั้น อยู่ในกรอบสร้างสรรค์-จรรโลง ไม่โน้มน้าว ชักจูง ให้คนเสื้อแดงที่กำลังเรียนรู้ประชาธิปไตยภาคสนามหลวงเข้าใจอะไรผิดๆ อันนำไปสู่การเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันหลักของชาติ

แต่ผมว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณตกอยู่ในสภาพ "ไก่ตาแตก" นะครับ!

คือแยกไม่ออก มองไม่เห็นแล้วว่า ใคร-อะไร คือศัตรูตัวจริงของเขา และทางไหน-ทางสวรรค์ และทางไหน-ทางนรก สำหรับตัวเอง เห็นแล้วน่าสงสาร ชั่วดีถี่ห่าง ทักษิณก็คือ "พี่น้องไทย" ของเราคนหนึ่งที่กำลังหลงทาง ช่วยได้ก็ควรช่วยกัน แต่ต้องช่วยให้ถูกทาง ไม่ใช่แบบ พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ที่ยกทักษิณ "อยู่เหนือกฎหมาย"

ถ้าแบบนั้น ควรปล่อยให้ "ตรอมใจตาย" ไปเถอะ!

ศัตรูทางการเมืองทักษิณขณะนี้ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ และไม่ใช่ "นายกฯ อภิสิทธิ์"!?

มันเปลี่ยนไปแล้วครับ เปลี่ยนสมบูรณ์ตั้งแต่ ๑๔ กุมภา.ที่ "พรรคภูมิใจไทย" สู่ความเป็นพรรคการเมืองครบถ้วนตามกระบวนการ และด้วยคนฉลาดระดับหลายประเทศในแอฟริกาแย่งกันไปเป็นที่ปรึกษา ทักษิณก็น่าจะได้ "กลิ่นใหม่" สัมผัสจมูกแล้วว่า พรรคภูมิใจไทย อันเป็น "ไผ่แตกกอ" ออกมาจากลูกชายคนหัวปี อันมีนามว่า "ทองปากบาน" นั้น


เขาตัดหน้า ตีตราจองเก้าอี้ "นายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๘" ต่อจากนายกฯ อภิสิทธิ์ไว้แล้ว!

ฉะนั้น การที่ทักษิณหวังใช้ "สาวกเสื้อแดง" เป็นกองกำลังรบ เพื่อชิงอำนาจประเทศจากนายกฯ อภิสิทธิ์ แล้วกลับมาเป็น "นายกรัฐมนตรี CEO" แทน เพื่อสถาปนาอำนาจเหนือประเทศเบ็ดเสร็จนั้น ถือเป็นการ "รบผิดตัว" อย่างน่าสมเพชจริงๆ


หัวหน้าภูมิใจไทยปัจุจุบัน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็นแค่ "ตัวจ่าย" เฉพาะกิจ ส่วนหัวหน้า "ตัวจริง" หลังจอคือ เนวิน ชิดชอบ ประกอบฉากด้วย "สมศักดิ์ เทพสุทิน" ส่วน "ตัวโจ๊ก" จับผสมแล้ว ๙ แต้มตลอดคือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ "ตัวเจี๊ยะ" คือนายวิชัย ณ คิงเพาเวอร์

ตามแผนบันได ๓ ขั้น ถ้าเกิดปรากฏการณ์พิสดาร มีการนิรโทษกรรมกันขึ้นภายใน ปี-ครั้งปี หรือถ้าไม่เกิด ก็อีกราวๆ ๓ ปี จะเหมือนผีพ้นจากยันต์ปากหม้อ

ทองปากบาน จาก "ตัวจริง-หลังจอ" จะผงาดขึ้นเป็น "ตัวเจ้า" ซึ่งถ้าทุกอย่างสมูธ แอส ซิลก์ ด้วยการขับเคลื่อนของคณะเนวิน เขามองข้ามหัว เอ๊ย..ข้ามช็อตจากประชาธิปัตย์ ไปถึงขั้นค่อยๆ ดูดลูกพรรคเพื่อไทยให้เหลือแค่กระดอง แล้วเลือกตั้งใหญ่

พรรคภูมิใจเนวินจะครองเหนือ-อีสานแทนทักษิณ

ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน เนวิน ชิดชอบ นายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๘ ของประเทศไทย

จะหนีไปซะทางไหนเสีย!


ตอนนี้ ไม่มีพรรคไหนมีจตุปัจจัยพร้อมเท่าพรรคภูมิใจเนวิน เดี๋ยวก็จะมี ถนนปลอดฝุ่นเป็นพัน-เป็นหมื่นล้าน เดี๋ยวก็จะมี NGV ๔,๐๐๐ คัน ตีซะคันละล้าน ขี้เกียจจะภูมิใจกันยกใหญ่ แล้วตอนนี้ก็มีกิจการสนามบินคิงเพาเวอร์ การท่าฯ คิงเพาเวอร์ กำลังจะปิดสนามบินดอนเมือง โอนประโยชน์โภชผลไปเพิ่มพูนให้สนามบินคิงเพาเวอร์ และยังจะแถมด้วยการบินไทยคิงเพาเวอร์

ขออนุญาตเรอหน่อยนะ...เอิ๊กกกกก...แหม ค่อยยังชั่ว!

ประชาธิปัตย์น่ะ ในทัศนคติของคณะเนวิน เขาวางตำแหน่งไว้แค่ "กาบกล้วยบังแดด" ให้พรรคภูมิใจเนวิน ในขณะที่ ตัวจริง-ตัวโจ๊ก-ตัวแจม ยังติดอยู่ในบ้านเลขที่ ๑๑๑ และประเมินดูจากท่าทีของคนภูมิใจไทย เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับสถานภาพนายกฯ ของอภิสิทธิ์ในการเชื่อฟังเท่าไรนัก

ตรงกันข้าม ดูจะอบอุ่น แนบแน่น "ตกผลึก" มาแล้วกับรองนายกฯ ที่ชื่อ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" มากกว่า!?

นายชัย ชิดชอบ บิดานายเนวิน นั้น ผมไม่เคยเห็นชายวัย ๘๐ กว่าปีคนนี้ จะกระฉับกระเฉง เลือดฉีดแดงซ่านทั้งใบหน้า ประกายฉายแววพึงใจเจิดจ้าเหมือนผีดิบได้เลือด เหมือนเมื่อวันเสาร์ ๑๔ กุมภา.ที่ขึ้นไปบนเวที ชูมือนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล แสดงความสำเร็จยิ่งใหญ่ของพรรคภูมิใจไทยท่ามกลางสมาชิก และผู้มาร่วมแสดงความยินดี

คับคั่งชนิดที่ "เพื่อไทย" เหมือนต้นไม้ใบร่วง!?

ผมเคยได้ยินนายชัยคุยถึงสรรพคุณลูกชายคนนี้มาตลอดว่า "นี่แหละ..นายกฯ คนต่อไป" ผมเห็นความคึกคัก กระปรี้กระเปร่าของนายชัยครั้งนี้ ก็อยากบอกไปถึงอดีตนายกฯ ทักษิณว่า ควรปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ เปลี่ยนเป้าหมายชิงจากนายกฯ อภิสิทธิ์ไปตั้งเป้าถล่มห้าง "ว่าที่นายกฯ" ของลูกชายคนหัวปีที่ชื่อ "ทองปากบาน" จะเป็นการถูกตัวศัตรูมากกว่า

ในขณะที่ทักษิณต้อง "เปลี่ยนคู่ชก" ทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เหมือนกัน เสื้อแดง-ทักษิณ-เพื่อไทย กำลังจะไม่ใช่คู่ชก-คู่ชิงเฉพาะหน้าแล้ว เป้าเปลี่ยนมาที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งมีพรรคภูมิใจเนวิน-พรรคร่วมที่เหมือนกาฝากดูดน้ำเลี้ยงจากคาคบไทรใหญ่ ทั้งเรื่องรถเมล์ ๔,๐๐๐ คัน ทั้งเรื่องสนามบิน เรื่องการบินไทย และเรื่องยุบดอนเมืองไปสู่ความเป็นหนึ่งใน ณ คิงเพาเวอร์ ถ้านายกฯ อภิสิทธิ์ใช้นโยบายบริหาร "ผลประโยชน์ต่างตอบแทน" ทั้งที่สมัยเป็นฝ่ายค้าน-ค้านหัวชนฝา ก็เห็นทีว่า ในสมรภูมิใหม่ ภูมิใจไทย-รอด แต่ประชาธิปัตย์-ไม่รอดแน่.

เงื่อนงำการย่ำยีอนุสาวรีย์ ร.๑ (บุรีรัมย์) ที่เขียนลงในบล็อค OKnation


แฉ “ตระกูลยี้” สั่งแก้แบบพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.1 เมืองบุรีรัมย์
http://www.oknation.net/blog/Anti-Corruption/2007/05/22/entry-2

คนบุรีรัมย์จี้ผู้ว่าฯ เอาผิดผู้เกี่ยวข้องสร้างอนุสาวรีย์ ร.1ผิดแบบ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/05/19/WW10_WW10_news.php?newsid=71676

ย้อนรอย "ตระกูลยี้" ฮุบที่หลวง-โกงแผ่นดิน!? (1)
http://www.oknation.net/blog/Anti-Corruption/2007/02/05/entry-2

ย้อนรอย"ตระกูลยี้"ฮุบที่หลวง-โกงแผ่นดิน (2)
http://www.oknation.net/blog/Anti-Corruption/2007/02/11/entry-3

จม.เปิดผนึกถึงนายกฯ จี้เช็กบิลสะพานอัปยศ "ตระกูลยี้"
http://www.oknation.net/blog/Anti-Corruption/2007/02/07/entry-3

“ยี้ห้อย” กระอัก! ฮุบที่ดิน รฟท.-สาวไส้โยง' “ชิดชอบ” ถ่ายโอนกันเละ
http://www.oknation.net/blog/Anti-Corruption/2007/01/28/entry-3

การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย

โดย สิงห์หน้าเขียว
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000138133


การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ตรวจราชการกระทรวงของกระทรวงมหาดไทย จำนวน 48 ราย ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2553 ที่ผ่านมานั้น มีภาพชัดเจนว่าเป็นการแบ่งพื้นที่กันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล กล่าวคือภูมิใจไทยดูแลพื้นที่ภาคอีสาน พร้อมทั้งประสานประโยชน์ร่วมกันกับพรรคชาติไทยพัฒนาในภาคกลาง ส่วนภาคใต้และภาคตะวันออกบางส่วนเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนในภาคเหนือก็มีการตอบสนองเรื่องความมั่นคงกับประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งมีข้อสังเกตให้พิจารณา ดังนี้

กลุ่มแรก คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ถูกย้ายเข้ามาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย จำนวน 4 ราย คือ นายปรีชา บุตรศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายธวัชชัย ฟักอังกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นายศุภกิจ บุญญฤทธิพงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง และนายวันชัย สุทธิวรชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกมองว่าไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ในพื้นที่ได้ แต่ในขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งถูกย้ายมาประจำกระทรวงเนื่องจากคนเสื้อแดงบุกเผาศาลากลางกลับได้ดีให้ไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอีกครั้ง คือ นายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร และนายชวน ศิรินันท์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่

กรณีนายปรีชา บุตรศรี นั้น ถือได้ว่าเป็นข้าราชการระดับสูงที่อาวุโสสูงสุดของกระทรวงมหาดไทยในขณะนี้ ผ่านการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมาหลายจังหวัดและยังเคยเป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนมาแล้ว การถูกโยกย้ายเข้ามาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงย่อมต้องถามหาความชอบธรรมจากฝ่ายการเมือง

กลุ่มที่สอง คือ การย้ายสับเปลี่ยนจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดบางคนเติบโตแบบก้าวกระโดด ผิดธรรมเนียมปฏิบัติของกระทรวงมหาดไทยที่ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องสะสมประสบการณ์การบริหารราชการแผ่นดินจากจังหวัดขนาดเล็กให้มีชั่วโมงบินสูงก่อนก้าวไปสู่จังหวัดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น นายระพี ผ่องบุพกิจ ย้ายจากผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์มาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากเป็นอันดับสองของประเทศรองจากกรุงเทพมหานคร ทั้งที่เพิ่งจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ได้ประมาณ 1 ปีเศษ โดยนายระพีฯ มีความใกล้ชิดกับนายเนวินและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รวมทั้งได้รับการวางตัวให้มาเป็นตัวช่วยนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งขณะนี้โดนบี้หนักจากทั้งพรรคเพื่อไทย กลุ่มนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และกลุ่ม ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี นอกจากนี้นายเชิดศักดิ์ ชูศรี ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเพียง 1 ปี ก็ได้รับการโยกย้ายให้มาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อดูแลกลุ่มการเมืองในพื้นที่ที่เพิ่งย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย

กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งแรก ซึ่งบางคนก็เติบโตแบบก้าวกระโดด เช่น นายธานี สามารถกิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ฐานที่มั่นสำคัญของคนเสื้อแดงในภาคกลาง นายธานีฯ แม้จะดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีแต่ก็มาปฏิบัติงานอยู่ที่หน้าห้องดูแลงานทั้งหมดให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงมีความใกล้ชิดและได้รับความไว้วางใจจากฝ่ายการเมืองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการจัดทำโผแต่งตั้งครั้งนี้นายธานีฯ ก็มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก หรือนายวิชิต ชาติไพสิฐ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงที่ไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ก็ถูกร้องขอมาจากพรรคประชาธิปัตย์และมีความใกล้ชิดกับกลุ่มการเมืองเจ้าของพื้นที่เดิม หรือกรณีนายเสริม ไชยณรงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีอาวุโสในการเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ถึง 2 ปี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เพื่อดูแลฐานที่มั่นสำคัญให้กับพรรคภูมิใจไทย และนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตซึ่งมีความใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีหัวเมืองสำคัญทางภาคใต้

ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า กระทรวงมหาดไทยซึ่งมีภารกิจหน้าที่ในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” เมื่อพิจารณาจากจังหวัดและตัวผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับการโยกย้ายในครั้งนี้แล้วสะท้อนให้เห็นเป้าหมาย 2 ประการ คือ

ประการแรกสุด เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองและพวกพ้องมากกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน เนื่องจาก

1. เป็นการจัดทัพเพื่อเตรียมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง แต่ก็ปรากฏเสมอว่าสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองฝ่ายตนให้มีความได้เปรียบฝ่ายตรงข้ามได้ โดยที่กฎหมายเลือกตั้งก็ยากที่จะเอาผิด

2. จะเกิดการทุจริตการใช้งบประมาณจังหวัดหรืองบประมาณที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการอนุมัติ การประมูลงาน การจัดซื้อจัดจ้างอย่างมาก จะมีการฮั้วหรือช่วยเหลือเพื่อตอบแทนให้คนของนักการเมืองที่สนับสนุนตนได้รับประโยชน์ โดยไม่มีการตรวจสอบ

3. การที่ฝ่ายการเมืองให้คนของตนเข้ามาคุมอำนาจในจังหวัดพื้นที่สีแดง นอกจากผู้ว่าราชการจังหวัดเพียงคนเดียวจะไม่สามารถทำได้แล้ว กลับจะทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้นในบ้านเมือง เหตุการณ์เผาศาลากลางอาจจะเกิดขึ้นอีก ซึ่งครั้งนี้อาจจะมากกว่าสามจังหวัดที่เคยเกิดขึ้นแล้วก็เป็นได้

ประการที่สอง เป็นการทำลายระบบราชการไทย โดยเฉพาะระบบการบริหารราชการและวัฒนธรรมของกระทรวงมหาดไทยที่มีการสั่งสมกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 100 ปี เห็นได้จาก

1. ก.พ. และ ก.พ.ร. พยายามทำการบริหารราชการให้เป็นระบบ มีการจัดทำยุทธศาสตร์ กำหนดตัวชี้วัดของความสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติได้ ดังนั้น ในการบริหารงานจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพียงคนเดียว

2. ทำลายขวัญของข้าราชการตามหลักการบริหารงานบุคคลอย่างยิ่ง ไม่ดูเรื่องความเหมาะสม มีการข้ามลำดับอาวุโส ข้าราชการซึ่งเสียสละ เอาชีวิตเข้าเสี่ยงในการปฏิบัติงาน เพื่อสร้างผลงานให้ตนเองได้มีความก้าวหน้าในชีวิตราชการตามครรลองครองธรรม กลับไม่ได้รับการพิจารณา เช่น ผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเติบโตด้วยการวิ่งเข้าหานักการเมืองจึงเป็นวิธีที่ง่ายและมีตัวอย่างความสำเร็จให้เห็นเป็นแบบอย่าง

3. ทำลายสมดุลของระบบราชการที่ประกอบด้วยฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการประจำ ซึ่งมีรูปแบบความสัมพันธ์และการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน ตามหลักการเหรียญมีสองด้าน แต่ในขณะนี้กลับถูกครอบงำ สั่งการโดยฝ่ายการเมือง

4. การกำกับดูแลรวมไปถึงการตรวจสอบในอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดจะลดประสิทธิภาพลง เมื่อผู้ที่ทุจริตหรือประพฤติมิชอบก็มีความใกล้ชิดกับฝ่ายการเมืองเช่นเดียวกันกับผู้ว่าราชการจังหวัด การทุจริตหรือการรั่วไหลของงบประมาณในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมากขึ้นเพราะส่วนใหญ่ก็เป็นพรรคพวกหรือหัวคะแนนของนักการเมืองผู้มีพระคุณ โดยที่ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่กล้าทำอะไร

นอกจากนี้การแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดในครั้งนี้ก็หนี้ไม่พ้นเรื่องการซื้อขายตำแหน่ง เป็นอีกหนึ่งข้อครหาในยุดที่กระทรวงมหาดไทยเผชิญอยู่กับนานาข้อครหา ทั้งการซื้อขายตำแหน่งในการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดเมื่อปีที่แล้ว การทุจริตการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอที่ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช. การแต่งตั้งนายอำเภอที่ ก.พ.ค. มีคำสั่งให้กระทรวงมหาดไทยยกเลิกคำสั่งแต่งตั้ง การทุจริตการเช่าคอมพิวเตอร์ และการทุจริตการจัดซื้อบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด โดยทั้งหมดยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากกระทรวงมหาดไทย พรมแดงที่นายมานิต วัฒนเสน เดินลงจากกระทรวงในวันที่พ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุราชการนั้น อาจดูสง่างามสมค่ายิ่งกับตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย แต่ภายใต้พรมแดงผืนนั้นซุกซ้อนปัญหาต่างๆ ไว้มากมาย มากเกินกว่าที่จะมองเพียงแค่การย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดในครั้งนี้เพียงอย่างเดียว และอาจจะยากยิ่งกว่าที่จะหาใครมาปัดกวาดให้กระทรวงมหาดไทยกลับมาสะอาดหมดจดอีกครั้ง

ย้ายบิ๊กล็อต"48ผู้ว่าฯ" เด็ก"เนวิน"ขยับพรึ่บ


การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันที่ 28 กันยายน มีมติแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด 48 ตำแหน่งของกระทรวงมหาดไทย โดยนายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า 1.นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าฯพิจิตร (นักปกครองระดับสูง) ไปเป็นผู้ว่าฯเชียงราย 2.นายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ว่าฯพะเยา ไปเป็นผู้ว่าฯสมุทรปราการ 3.นายปรีชา บุตรศรี ผู้ว่าฯปทุมธานี ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย 4.นายธวัชชัย ฟักอังกูร ผู้ว่าฯ ร้อยเอ็ด เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย 5.นายสมบัติ ตรีวัฒน์สุวรรณ ผู้ว่าฯสกลนคร เป็นผู้ว่าฯขอนแก่น 6.นายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าฯอุดรธานี ไปเป็นผู้ว่าฯสกลนคร 7.นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าฯหนองคาย ไปเป็นผู้ว่าฯ อุดรธานี 8.นายธีรเทพ ศรียะพันธ์ ผู้ว่าฯปัตตานี เป็นผู้ว่าฯจันทบุรี

\'ปนัดดา\'ไปเชียงใหม่-\'ระพี\'คุมโคราช
9.ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าฯนครปฐม ไปเป็นผู้ว่าฯเชียงใหม่ 10.นายชิดพงษ์ ฤทธิประศาสน์ ผู้ว่าฯสิงห์บุรี เป็นผู้ว่าฯนครปฐม 11.นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าฯสุรินทร์ เป็นผู้ว่าฯ นครราชสีมา 12.นายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี ผู้ว่าฯกาญจนบุรี เป็นผู้ว่าฯนครพนม 13.นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าฯชลบุรีไปเป็นผู้ว่าฯ น่าน 14.นายชวน ศิรินันท์พร ผู้ว่าฯอุบลราชธานี เป็นผู้ว่าฯแพร่ 15.นายธวัชชัย เทิดเผ่าไทย ผู้ว่าฯเพชรบูรณ์ เป็นผู้ว่าฯระยอง 16.นายวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ ผู้ว่าฯศรีสะเกษ เป็นผู้ว่าฯเพชรบูรณ์ 17.นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าฯ หนองบัวลำภู เป็นผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ 18.นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ตรวจฯ เป็นผู้ว่าฯหนองบัวลำภู 19.นายวันชัย สุทธิวรชัย ผู้ว่าฯชัยภูมิ เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย

เด้งผู้ว่าฯลำปางเข้ากรุผู้ตรวจฯ
20.นายวินัย ครุวรรณพัฒน์ ผู้ว่าฯพัทลุง เป็นผู้ว่าฯสตูล 21.นายแก่นเพชร ช่วงรังสี ผู้ว่าฯ ตราด เป็นผู้ว่าฯ อำนาจเจริญ 22.นายศุภกิจ บุญญฤทธิพงษ์ ผู้ว่าฯ ลำปาง เป็นผู้ตรวจฯ 23.นายอธิคม สุพรรณพงศ์ ผู้ตรวจฯเป็นผู้ว่าฯลำปาง 24.นายพินิจ เจริญพานิช รองอธิบดีกรมการปกครอง (นักบริหารระดับต้น) เป็นผู้ว่าฯชุมพร 25.นายชาญวิทย์ วสยางกูร ที่ปรึกษาด้านบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ เป็นผู้ว่าฯ มุกดาหาร 26.นายวิชิต ชาตไพสิฐ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เป็นผู้ว่าฯ ชลบุรี 27.นายบุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯ มุกดาหาร

คนสนิท\'ศักดิ์สยาม\'นั่งพ่อเมืองปทุม
28.นายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร รองผู้ว่าฯพิจิตรเป็นผู้ว่าฯ พิจิตร 29.นายกิตติ ทรัพย์วิสุทธิ์ รองผู้ว่าฯ ราชบุรีเป็นผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา 30.นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ รองผู้ว่าฯ พะเยา เป็นผู้ว่าฯพะเยา 31.นายวันชัย โอสุคนธ์ทิพย์ รองผู้ว่าฯสุพรรณบุรี เป็นผู้ว่าฯอุทัยธานี 32.นายธานี สามารถกิจ รองผู้ว่าฯชลบุรี เป็นผู้ว่าฯปทุมธานี 33.นายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม รองผู้ว่าฯ กาฬสินธุ์ เป็นผู้ว่าฯร้อยเอ็ด 34.นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล รองผู้ว่าฯ นราธิวาส เป็นผู้ว่าฯ ปัตตานี 35.นายพิเชษฐ ไพบูลย์ศิริ รองผู้ว่าฯนครนายกฯ เป็นผู้ว่าฯสิงห์บุรี 36.นายเสริม ไชยณรงค์ รองผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ เป็นผู้ว่าฯ สุรินทร์ 37.นายชัยโรจน์ มีแดง รองผู้ว่าฯ นครสวรรค์ เป็นผู้ว่าฯนครสวรรค์ 38.นายณฐพลษ์ วิเชียรเพริศ รองผู้ว่าฯร้อยเอ็ด เป็นผู้ว่าฯกาญจนบุรี 39.นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองผู้ว่าฯ นครนายก เป็นผู้ว่าฯนครนายก 40.นายวิรัตน์ ลิ้มสุวัฒน์ รองผู้ว่าฯ อุดรธานี เป็นผู้ว่าฯ หนองคาย 41.นายธำรง เจริญกุล รองผู้ว่าฯ สงขลา เป็นผู้ว่าฯ พังงา

ดันรองอธิบดีโยธาฯไปสมุทรสาคร
42.นายสุรพล สายพันธ์ รองผู้ว่าฯ อุบลราชธานี เป็นผู้ว่าฯ อุบลราชธานี 43.นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต เป็นผู้ว่าฯ ภูเก็ต 44.นายพิสิษฐ์ บุญช่วง รองผู้ว่าฯ อุทัยธานี เป็นผู้ว่าฯ พัทลุง 45.นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต เป็นผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี 46.น.ส.เบญจวรรณ อ่านเปรื่อง รองผู้ว่าฯ กำแพงเพชร เป็นผู้ว่าฯตราด 47.นายจุลภัทร แสงจันทร์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นผู้ว่าฯสมุทรสาคร และ48.นายจรินทร์ จักกะพาก รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ว่าฯชัยภูมิ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป

ย้ายทิ้งทวนก่อนสิ้นปีงบประมาณ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแต่งตั้งดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน ก่อนนายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทยเกษียณอายุราชการ และมีรองผู้ว่าฯ และรองอธิบดีระดับนักปกครองต้นเลื่อนขึ้นเป็นผู้ว่าฯ 21 ตำแหน่ง ขณะที่ข้าราชการระดับ 10 ในตำแหน่งผู้ว่าฯและผู้ตรวจฯย้ายสลับกัน 21 ตำแหน่ง ส่วนผู้ว่าฯที่ถูกย้ายกรณีเผาศาลากลางคือ จ.อุบลราชธานี จ.มุกดาหาร จ.อุดรธานี จ.ขอนแก่นที่ถูกย้ายมาช่วยราชการกระทรวงมหาดไทย มีนายชวน ศิรินันทพร อดีตผู้ว่าฯ อุบลราชธานี มาเป็นผู้ว่าฯแพร่ และนายอำนาจ ผการัตน์ อดีตผู้ว่าฯอุดรธานี ไปเป็นผู้ว่าฯสกลนคร ขณะที่นายปราโมทย์ สัจจรักษ์ ผู้ว่าฯขอนแก่น เกษียณอายุราชการและนายบุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯมุกดาหารยังต้องช่วยราชการสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยต่อไป

ตั้ง\"ขวัญชัย\'รักษาการปลัดมท.
ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทยกล่าวว่า การแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด 48 ตำแหน่ง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย นายกรัฐมนตรีไม่ได้ทักท้วงอะไร ทั้งนี้ ในช่วงที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักบริหารการทะเบียน กรมปกครอง 3,490 ล้านบาทกำลังดำเนินการ จะให้นายขวัญชัย วงศ์นิติกร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ว่าที่อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) รักษาราชการตำแหน่งปลัดกระทรวง ควบคู่กับตำแหน่งอธิบดี สถ. ซึ่งไม่มีผลต่อการสอบของคณะกรรมการชุดดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับนายขวัญชัยนั้น จบจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นรุ่นพี่ของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงานรมว.มหาดไทย ซึ่งที่ผ่านมานายขวัญชัยเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากฝ่ายการเมืองมาตลอด จนได้รับตำแหน่งอธิบดี สถ. กรมที่มีงบประมาณหลายแสนล้านบาท

ไม่หนักใจถิ่นแดงเชื่อผู้ว่าฯรับมือได้
นายชวรัตน์กล่าวต่อว่า ส่วนตำแหน่งผู้ว่าฯอุดรธานี อุบลราชธานี และขอนแก่นที่เคยย้ายเข้ามาช่วยราชการก็กลับไปทำหน้าที่เป็นผู้ว่าฯจังหวัดอื่นต่อไป เนื่องจากมีคนเกษียณ ส่วนผู้ว่าฯคนใหม่ที่เข้าไปรับตำแหน่งในพื้นที่สีแดงอย่างจ.เชียงใหม่ ไม่มีอะไรน่าห่วง การเข้ามาเป็นผู้ว่าฯต้องผ่านงานมามาก อย่างไรก็ตาม ในส่วนตำแหน่งผู้ว่าฯที่ได้รับการแต่งตั้งนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป จะให้รักษาการไปจนกว่าจะได้รับการโปรดเกล้าฯ

เด็ก\'ชิดชอบ\'ได้ดีถ้วนหน้า
มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทยแจ้งว่า การแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าฯทั้ง 48 ตำแหน่ง เป็นไปตามความต้องการของฝ่ายการเมืองพรรคภูมิใจไทย ที่เตรียมรับการเลือกตั้งซึ่งจะเกิดขึ้นปี 2554 ในจังหวัดสำคัญ อาทิ นครราชสีมา ชลบุรี อุดรธานี ขอนแก่น ระยอง สมุทรปราการ ปทุมธานี โดยผลักดันบุคคลใกล้ชิดเข้ารับตำแหน่ง อย่างนายธานี สามารถกิจ รองผู้ว่าฯชลบุรี ที่ไปเป็นผู้ว่าฯปทุมธานี ซึ่งนายธานีนั้นเป็นบุคคลที่นายศักดิ์สยามไว้ใจมาก เนื่องจากเป็นรุ่นพี่ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยให้มานั่งหน้าห้องเป็นที่ปรึกษาโครงการสำคัญๆมาตลอด

ส่ง\'ระพี\'นั่ง\'โคราช\'รับเลือกตั้งดุ
เช่นเดียวกับ นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าฯสุรินทร์ ไปเป็นผู้ว่าฯนครราชสีมา ก็เป็นรุ่นพี่ของนายศักดิ์สยาม ที่ผ่านเคยเป็นตัวเก็งที่จะมารับตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน แต่นายระพีปฏิเสธ เพราะอายุราชการยังเหลืออีกหลายปี ฝ่ายการเมืองต้องการผลักดันไปคุมจังหวัดใหญ่อย่างนครราชสีมา ที่แข่งขันทางการเมืองสูงโดยมีนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล ซึ่งรู้กันดีว่า นายบุญจงถูกกดดันอย่างหนักในพื้นที่ หลังนายไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน จับมือนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ จากพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และกลุ่มเพื่อไทยในจ.นครราชสีมา นำโดยพ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ สกัดพรรคภูมิใจไทย


สลับจว.คุมฐานเสียงหลักภท.
รายงานข่าวระบุอีกว่า ส่วนนายเสริม ไชยณรงค์ รองผู้ว่าฯบุรีรัมย์ ที่ใกล้ชิดนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ถูกผลักดันให้รับตำแหน่งผู้ว่าฯสุรินทร์ แทนนายระพี เพราะเป็นที่มั่นของพรรค ภท. ขณะที่นายสุรพล สายพันธ์ รองผู้ว่าฯอุบลราชธานีเป็นผู้ว่าฯอุบลราชธานี อีกพื้นที่ที่แข่งขันสูง ส่วนนายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าฯพิจิตรไปเป็น ผู้ว่าฯ เชียงราย พื้นที่ของของนายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ แกนนำพรรค ภท.ภาคเหนือ ด้านนายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี จากผู้ว่าฯกาญจนบุรี ไปเป็นผู้ว่าฯนครพนม พื้นที่ของนายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรฯ


ส่ง\'ปนัดดา\'คุมแดงหมิ่นสถาบัน
ส่วนนายสมบัติ ศรีวัฒน์สุวรรณ ผู้ว่าฯสกลนครไปเป็นผู้ว่าฯ ขอนแก่น พื้นที่ของนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ส.ส.ขอนแก่น นายวิชิต ชาตไพสิฐ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง 10 ไปเป็นผู้ว่าฯ ชลบุรี พื้นที่ของนายสนธยา คุณปลื้ม ที่มีข่าวว่าจะมาเป็นหัวหน้าทีมภาคตะวันออกของพรรค ภท. เช่นเดียวกับ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าฯนครปฐม ที่ถูกโยกไป เป็นผู้ว่าฯเชียงใหม่ พื้นที่ที่มีการกระทำหมิ่นเบื้องสูงบ่อยครั้ง จึงส่งม.ล.ปนัดดาไปควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดง

ปชป.ขอเอี่ยวสู้ศึกเลือกซ่อม
ขณะเดียวกับยังพบว่า การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ มีคนของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เช่น นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล รองผู้ว่าฯภูเก็ตเป็นผู้ว่าฯสุราษฎรธานี เพราะเคยเป็นนายอำเภอเกาะสมุย มีความใกล้ชิดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อวางเกมสู้ศึกเลือกตั้งซ่อมที่จะเกิดขึ้น ด้านนายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าฯภูเก็ต เป็นผู้ว่าฯภูเก็ต พื้นที่ของนางอัญชลี วานิช เทพบุตร

\'เนวิน\'เอาคืนสกัดรองผู้ว่าฯอาวุโส
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า การโยกย้ายครั้งนี้พบรองผู้ว่าฯที่มีความอาวุโสหลายคน ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าฯ เช่นนายเกษม วัฒนธรรม รองผู้ว่าฯน่าน อาวุโสสูงสุดเป็นอันดับสองในระดับ 9 เนื่องจากเมื่อครั้งนายเกษมเป็นรองผู้ว่าฯบุรีรัมย์ ช่วงการเลือกตั้งปี 2550 เคยเป็นประธาน กกต. บุรีรัมย์ ได้เสนอใบแดงให้ผู้สมัครส.ส. พรรคพลังประชาชนในสายกลุ่มเพื่อนเนวินถึง 3 คนทำให้นายเนวินไม่พอใจ เสนอนายพิสิษฐ์ บุญช่วง รองอาวุโสอันดับ 1ให้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าฯพัทลุง


แฉการเมืองเร่งแต่งตั้ง-หวิดไม่ทัน
รายงานข่าวระบุด้วยว่า การจัดทำบัญชีโยกย้ายครั้งนี้ เป็นไปอย่างเร่งรีบ เห็นได้จากการสอบวิสัยทัศน์ข้าราชการระดับ 9 เพิ่งเสร็จสิ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้คาดกันว่า บัญชีรายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดน่าจะเข้าครม.วันที่ 4 ตุลาคม เพราะการรวมคะแนนต้องใช้เวลา โดยช่วงเย็นวันที่ 27 กันยายนนายสุเทพส่งโผผู้ว่าฯในส่วนพรรคปชป. มาให้โดยทั้งหมดร่วมกันจัดทำโผเสร็จช่วงดึกและเสนอเป็นเข้า ครม.เป็นวาระจร เกือบไม่ทันครม.ประชุม สุดท้ายครม.อนุมัติให้ผ่านในช่วงเที่ยง

ตั้ง\"จีราวรรณ\"นั่งปลัดไอซีที
ขณะที่นพ.มารุต มัสยวานิช รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.อนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เสนอแต่งตั้งนางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง นายต่อศักดิ์ วานิชขจร รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา

ย้ายซี10ทส.\"สุวิทย์\"ขึ้นอธิบดีป่าไม้
ในส่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)นั้น ครม.เห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 อาทิ นายสุวิทย์ รัตนมณี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เป็นอธิบดีกรมป่าไม้ แทนนายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ที่เกษียณอายุราชการ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมอุทยานฯ เป็นอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ แทนนายเกษมสันต์ จิณณวาโส ที่ย้ายไปเป็นอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) นางนิศากร โฆษิตรัตน์ รองปลัด ทส. เป็นเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แทนนางมิ่งขวัญ วิชยารังสฤษดิ์ เลขาฯสผ.ที่มาเป็นผู้ตรวจราชการ

ตั้ง\"ถวัลย์รัฐ\"กลับกรมเจ้าท่
กระทรวงคมนาคม ครม.อนุมัติแต่งตั้งโยกย้าย 6 ตำแหน่งคือ นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ไปเป็นอธิบดีกรมเจ้าท่า นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร ผู้ตรวจฯ เป็นอธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ ผู้ตรวจฯ เป็นรองปลัดกระทรวง นายจำรูญ ตั้งไพศาลกิจ ผู้ตรวจฯเป็นรองปลัดกระทรวง นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ ผู้ตรวจฯเป็นรองปลัดกระทรวง และนายวรเดช หาญประเสริฐ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางอากาศ เป็นผู้ตรวจฯ


ที่มา แนวหน้าออนไลน์

โดย: คนชานเมืองขข. วันที่ 29/09/2553

กำศรวลมหาดไทย หรือ อวิชชา ปรมาลาภา

กำศรวลมหาดไทย หรือ อวิชชา ปรมาลาภา

อวิชชา ปรมาลาภา = ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ
อวิชชา ไม่ได้แปลว่างี่งั่ง หรือ โง่เง่าเต่าตุ่น นะครับ อวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง หรือ รู้ผิดๆตามที่ ท่านป. ปยุตโต พรรณนา ไว้ดังนี้
1. ไม่รู้ในทุกข์
2. ไม่รู้ในทุกขสมุทัย
3. ไม่รู้ในทุกขนิโรธ
4. ไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

กล่าวสั้นๆ คือไม่รู้ในอริยสัจจ์ 4 นั่นเป็น อวิชชา 4 +เข้าไปอีก 4 ก็เป็นอวิชชา 8 ดังนี้
5. ไม่รู้ในส่วนอดีต
6. ไม่รู้ในส่วนอนาคต
7. ไม่รู้ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต
8. ไม่รู้ในธรรมทั้งหลายที่อาศัยกันจึงเกิดมีขึ้นตามหลักอิทัปปัจจยตา

บุคคลตกอยู่ในความประมาท โลภ-โกรธ-หลง-และตัณหาทั้งปวงก็เพราะความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง
อวิชชาทั้ง 8 สามารถนำมาประยุกต์อธิบายการเมืองไทยที่เป็น “สมบัติผลัดกันชม”ได้เป็นอย่างดี

บทความนี้ ผมขอภาวนาใหกัลยาณมิตรของผม คืออดีตนายกฯอานันท ปันยารชุน และนพ.ประเวศ วะสี ได้อ่าน และนำไปคิดอย่างจริงจัง หากจะกล้านำไปถกกับนายกรัฐมนตรีด้วยก็ยิ่งดี

กัลยาณมิตรคนหนึ่งของท่านทั้งสอง เมื่อได้ดูรายการทีวีของ”คำผกากับคำรณ คุณะดิลก” แล้ว เกิดความบันดาลใจอย่างแรงจนอดเขียนไม่ได้:

I could not watch it in its entirety. As long as the Dok Thong camp continues to talk about killing from ONE side, it's no use arguing with them. Kamron should have declined to take part: he was bored stiff.

I am having similar feelings with both Khun Anand's and Moh Prawes's committees. Some of the members are known to be downright IMMORAL in their private lives: the media cannot distinguish between rogues and virtuous people, because the media themselves are filled with rogues.

ผมเองต้องสารภาพว่าเบื่อหรือ bored stiff กับสถานการณ์บ้านเมืองและพฤติกรรมของรัฐบาลเหลือเกิน และคิดว่าคงต้องทนอีกนาน เพราะรัฐบาลกำลังเพลิดเพลินดื่มด่ำอยู่กับอำนาจวาสนา และกำลังเผยแพร่

แพร่อวิชชาของท่านให้กับประชาชนและประเทศชาติอย่างเมามัน

ผมจึงอยากขอร้องคุณอานันท์กับหมอประเวศให้ช่วยนายกรัฐ มนตรีและประเทศชาติ โดยยกเอาโจทย์หรือการบ้านกระทรวงมหาดไทยมาแก้ด่วน

จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าท่านทั้งสามจะเข้าใจอริยสัจจ์ 4 และอิทัปปัจจยตาแห่งการเมืองไทยหรือไม่ และมองเห็นความเชื่อมโยงไหมว่าอะไรทำให้ท่านได้มานั่งอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญของพี่น้องร่วมชาติทุกวันนี้

ก่อนอื่น ท่านจะต้องเข้าใจ “บุรีรัมย์โมเดล” และตระหนักด้วยว่าหากบุรีรัมย์โมเดลขยายไปทั่วประเทศ ไทยในวันหน้าก็จะไม่ต่างอะไรกับเขมรภายใต้ “ฮุนเซ็นโมเดล”

ฮุนเซ็นโมเดลเป็นอย่างไร กด google ดู Country For Sale กับ Cambodia’s Family Trees โดย Global Witness ได้ ส่วน Buriram Model ซึ่งคล้ายกันมากแต่ย่อส่วนเล็กลงมา หาจาก google ได้เพียงเล่มเดียว ชื่อ

Southeast Asian Affairs 2008 โดยTin Maung Maung Than
ตอนที่ Tin Maung เขียน เนวินยังมิได้ปราบดาภิเศก หากเขากลับมาวิจัยใหม่อาจพบว่าบุรีรัมย์โมเดลภายใต้เวชชาชีวุปถัมป์ครอบงำทุกกระทรวงสำคัญ อาจทำให้บุรีรัมย์โมเดลแซงฮุนเซ็นโมเดลไปแล้วก็ได้

แทนที่จะคอยพึ่งต่างชาติ ผมขอเสนอว่า

1.ให้คณะกรรมการปฏิรูป คณะกรรมการหรือกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลและวินิจฉัยว่ามีการแทรกแซงทำลายความเป็นกลางของข้าราชการมหาดไทยเพื่อผลทางการเมืองหรือไม่

2.ให้ประชาชนหรือองค์กรที่สนใจร้องเรียนและใช้สิทธิตามกฎหมายเสรีภาพข่าวสาร ขอดูข้อมูล สถิติและขั้นตอนที่นำมาสู่การตัดสินใจเรื่องการโยกย้ายแต่งตั้งและเลื่อนชั้นในกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่เจ้าหน้าที่ประจำ เจ้ากระทรวงจนถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี

3. ให้มีการคุ้มครองผู้ให้ปากคำซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ผู้ได้รับหรือเสียประโยชน์จากการแต่งตั้งแต่ละครั้ง อันนี้อาจนำไปสู่การสังคายนาปรับปรุงกระทรวงอย่างจริงจังครั้งใหญ่ได้

การวิเคราะห์ตามหลักอิทัปปัจจยตา

บุรีรัมย์โมเดล มีลักษณะดังนี้ 1. เขมือบงบทุกอย่าง 2. ใครขวางระวัง 3. โกงเลือกตั้งทุกระดับ 4. งุบงิบงับทรัพยากรชาติ 5. สามารถอุปถัมภ์ทุกกระทรวง

ขณะที่คอย ลองมาดูข้อมูลที่ทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านบุรีรัมย์โมเดลรู้ดี แต่ไม่มีใครเชื่อมโยงให้เห็น”ข้างหลังภาพ”หรือภาพที่แท้จริงเท่านั้น

ท่านมองไม่เห็นความเชื่อมโยงกันระหว่าง ทักษิณ-เนวิน เนวิน-ศักดิ์สยาม-บุรีรัมย์-มานิต วัฒนเสน-การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ-การแต่งตั้งนายอำเภอเก้า 41 คนเป็นโมฆะ-การที่สำนักราชเลขาธิการส่งเรื่องแต่งตั้งปลัดกระทรวงคนใหม่กลับ-การรีบตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนการตั้งปลัดฯลฯ

ทั้งหมดนี้ ท่านมองไม่เห็นปัจจัยเขมรหรือบุรีรัมย์แฟคเตอร์ ซึ่งแม้แต่การวิเคราะห์ตามหลักวิชาสถิติก็จะเห็นความวิปริตอย่างมหันต์ ท่านมิได้ตรวจสอบผลที่ออกมาอย่างนี้ว่าอะไรเป็น necessary factor อะไรเป็น sufficient factor อะไรเป็นปัจจัยหรือตัวแปรหลัก อะไรเป็นตัวแปรรอง ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น

ท่านจึงไม่เห็นการเล่นพวกอย่างเป็นระบบและการกีดกันทำลายผู้ที่มิใช่พวกอย่างไร้คุณธรรม และไม่คำนึงถึงอนาคตของกระทรวงและของประเทศ

2010/10/1 Pramote Nakornthab

นี่หรือ ภูมิใจมหาดไทย โดย นายอำเภอแหวนเพชร

นี่หรือ ภูมิใจมหาดไทย โดย นายอำเภอแหวนเพชร

ผมดูทีวีเมื่อ 30 กันยายน 2553 ได้ฟังมท2 ตอบกระทู้สด เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการแล้ว อด แสดงความคิดเห็นไม่ได้

1. ประเด็นที่ มท.2 ได้ตอบกระทู้สดแยกได้ 3 เรื่อง คือ
    เรื่องการซื้อขายตำแหน่ง เรื่องการแต่งตั้งผู้ว่า
      ราชการจังหวัด และ
      เรื่องการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด
    ว่าทั้ง 3 เรื่อง เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ไว้ใครไม่พอใจก็ไปร้ององค์กรต่างๆ ที่จัดตั้งได้ เข้าตำราขายสินค้าราคาแบบนี้ ใครซื้อไม่พอใจก็ไปร้อง เอาล่ะกัน

2.อยากมองความเห็นสวนกับ มท.2 ว่า

ในเรื่องซื้อขายตำแหน่งที่ท่านบอกว่าเป็นเรื่องไม่จริงพูดกันมานานแล้วผมอยากถามท่านด้วยความเคารพ ตรงนี้ว่า ท่านเป็น มท.2 ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่รู้จริงๆ หรือว่ามีการซื้อชายตำแหน่งใน มท.2 ถ้าใช่ผมจะ เสนอให้ท่านไปเป็นรัฐมนตรีรับผิดชอบงานพระพุทธศาสนา

เรื่องซื้อขายตำแหน่งอย่าได้พูดถึงเรื่องใบเสร็จยากที่จะหาได้ ในหลักการหน่วยงานบางแห่งในการ วินิจฉัยคดีเช่น กกต.เขารู้ว่ายากแก่การหาหลักฐานที่เป็นใบเสร็จ ดังนั้นความผิดหรือการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เขาจึงใช้คำว่า มีเหตุผลอันเชื่อได้ว่า ก็วินิจฉัยไปได้ ทั้งนี้ เพื่อใช้หลักป้องกันความเสียหาย

ในเรื่องกระทรวงมหาดไทยได้แต่งตั้งบุคคลที่มีความรู้ความสามารถท่านอธิบายเรื่องนี้ว่า กระทรวงจะถือหลักความรู้ความสามารถตามที่ ก.พ.กำหนด ส่วนเรื่องความอาวุโสนั้นเป็นลำดับท้าย ท่าน เอาหลังพิงโดยอ้าง ก.พ.

เรื่อง ก.พ.นี้ ผมว่าเป็นหน่วยงานที่ล้าหลังอยากจะถามว่าในปีนี้มาเคร่งครัดกฎ ระเบียบ เช่น จะต้องให้มีผู้คัด เลือกเป็นจำนวนกี่เท่าของตำแหน่งว่างทำให้เกิดการวุ่นวายแต่ถามว่าเมื่อปี 2551 2552 ซึ่งเป็นปีที่หลัง จากการประกาศใช้ พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันทำไมไม่แหกปากในประเด็นดังกล่าวเสียตอนนั้น อันนี้ก็ไม่มีคำตอบของ ก.พ.ต่อสาธารณชน

ประเด็นที่ท่าน ตอบอ้างหลักในด้านความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์ คนที่มาดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดได้นั้นย่อมถือได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเท่ากัน ท่านจะเอาอะไรมาวัดว่าความรู้ความสามารถไม่เท่ากัน เพราะเวลาจะโยกย้ายใครไปที่ใดที่หนึ่งก็อ้างว่ามี ความรู้ความสามารถสำหรับที่นั้น ไม่เคยมีจังหวัดใดที่ว่างเว้นรองผู้ว่าราชการจังหวัด ด้วยเหตุที่ขาดผู้มี ความรู้ความสามารถสำหรับจังหวัด

ดังนั้น ตัวชี้วัดที่ มท.2 ควรจะให้เห็นเป็นประเด็นสำคัญ คือ เรื่อง ความประพฤติและประวัติรับราชการ 2 ตัวนี้ รวมกันแล้วก็คือหลักของความอาวุโสมากกว่านั้นเอง แต่ท่านกลับพูดว่าความอาวุโสไม่ใช่สิ่งสำคัญ อยู่ที่ ความรู้ความสามารถ ถ้าอย่างนั้นท่านต้องตอบสังคมว่าคนที่ได้รับการแต่งตั้งที่ท่านว่ามีความรู้ความสามารถ ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งในด้านความรู้ความสามารถอย่างไร

ก่อนจะตอบประเด็นนี้ ผมอยากให้ มท.2 ไปดูหลักเกณฑ์การคัดเลือกที่กระทรวงมหาดไทยประกาศก่อนว่า คัดเลือกครั้งนี้มีเกณฑ์สำคัญอยู่ 5 ตัว คือ
    ข้อ 1.ความรู้และสมรรถนะทางการบริหาร 20 คะแนน
    ข้อ 2.ความสามารถในการบริหารจัดการ 20 คะแนน
    ข้อ 3.ประวัติรับราชการ 20 คะแนน (พิจารณาจากประสบการณ์ในการดำรง ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด)
    ข้อ 4.ความประพฤติ 20 คะแนน(จากการประเมินของผู้บังคับบัญชา)
    ข้อ 5.จากคุณลักษณะจำเป็นต่อการปฏิบัติตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง 20 คะแนน (โดยการ สัมภาษณ์)
จากหลักเกณฑ์ข้างต้น มท.2 ควรรับรู้ว่าใน ข้อ 1. และ ข้อ 2. ผู้เข้าคัดเลือกทุกคนย่อมมีคะแนนไม่แตก ต่างกันอาจเรียกได้ว่าได้คะแนนเท่ากันตัวที่จะมีการแตกต่างกันรองลงมาคือใน ข้อ 4. หากผู้บังคับบัญชา ประเมินไม่ดีเขาก็ไม่ผ่าน แต่อันนี้ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าคัดเลือกรับรู้จึงถือเป็นกรรมของผู้ที่เข้าคัดเลือก หากมีทัศนะคติ ลงหรือไม่ลงกับผู้ว่าราชการจังหวัดผู้ประเมิน (ก.พ.ควรดูเรื่องนี้ด้วยเพราะแม้แต่การ ประเมินการปฏิบัติงานยังเปิดให้ผู้รับการประเมินรับทราบเพื่อชี้แจงแต่กรณีนี้ไม่มีโอกาส)

ในหลักเกณฑ์ข้อต่อมาในข้อ 5 ก็คงไม่แตกต่างกันทุกคนเพราะในการสัมภาษณ์ในระยะสั้นๆ ไม่มีข้อแตก ต่างเลย ซ้ำร้ายเรื่องการเขียนวิสัยทัศน์เชื่อได้เลยว่ากรรมการอ่านไม่ทั่วถึงหรือบางครั้งวิสัยทัศน์ผู้อ่านอาจ จะแย่กว่าผู้เข้าคัดเลือกด้วยซ้ำไป ข้อเสียหายในเรื่องวิสัยทัศน์ก็คือแม้รองผู้ว่าราชการจังหวัดจะมีวิสัยทัศน์ ดีอย่างไร แต่มิใช่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด คือ ผู้ว่าฯ จึงไม่เกิดประโยชน์

ดังนั้น เกณฑ์ที่จะพิจารณาคัดเลือกผู้เหมาะสมเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดได้ ที่จะมีข้อแตกต่างกันคือ ตาม เกณฑ์ ข้อ 3. คือ ประวัติการรับราชการเพราะเป็นตัวบ่งชี้ในเรื่องประสบการณ์ขีดความสามารถความทน ความเหนียวและความชำนาญการในเรื่องนี้ ยกตัวอย่างข้อเปรียบเทียบชัดเจนในแต่ละคน คือ

    -- คนที่เป็นนายอำเภอมาก่อนย่อมมีประสบการณ์เหนือกว่าคนที่พึ่งเป็นนายอำเภอใช่หรือไม่?
    -- คนที่เป็นนายอำเภอมาหลายอำเภอควรมีประสบการณ์มากกว่าเป็นนายอำเภอเพียงหนึ่งหรือ สองอำเภอใช่หรือไม่?
    -- คนที่เติบโตมาจากปลัดจังหวัดย่อมมีประสบการณ์มากกว่าคนที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งปลัด จังหวัดหรือไม่?
    -- คนที่เป็นปลัดจังหวัดมาหลายแห่งย่อมมีประสบการณ์มากกว่าคนที่เป็นปลัดจังหวัดเพียงแห่ง เดียวหรือไม่?
    -- คนที่ปฏิบัติงานหลายพื้นที่ เช่น อยู่ภาคเหนือภาคใต้ภาคอีสานไปเรื่อยย่อมมีประสบการณ์เหนือ กว่าคนที่รับราชการหรือเติมโตมาในหนึ่งหรือสองจังหวัดใช่หรือไม่?
    -- คนที่เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดมาหลายจังหวัดย่อมีประสบการณ์มากกว่าผู้ที่อยู่เพียงจังหวัด เดียวใช่หรือไม่?
    -- คนที่เคยปฏิบัติหน้าที่ดีจนได้รับรางวัลปรากฏต่อสาธารณชนทั้งของกระทรวงมหาดไทยทั้ง ระดับประเทศ และระดับนานาชาติย่อมีประสบการณ์ดีกว่าผู้ที่เคยไม่ได้รับรางวัลนั้นใช่หรือไม่?

ตัวอย่างข้างต้นผมว่าสามารถให้คะแนนแก่คนที่เข้าสอบคัดเลือกได้เป็นอย่างดีว่าใครมีประสบการณ์ หรือมีความอาวุโสมากกว่ากันใครควรอยู่ก่อนใครควรอยู่หลัง แต่ถ้าใช้หลักเกณฑ์นี้มาจับแล้วเชื่อได้เลยว่าบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกจะเป็นผู้ที่เติบโตมาตาม ครรลองไม่มีเส้นสายคนเหล่านี้จะมีเอกลักษณ์อยู่อย่างหนึ่งคือความเชื่อมั่นในตนเองและไม่เคยเข้าหา นักการเมืองไม่มีเงินซื้อตำแหน่ง แต่เป็นสิ่งที่ฝ่ายการเมืองหรือสิ่งที่มท.2 ซึ่งในหมวกหนึ่งคือนักการเมือง ย่อมไม่อยากได้ เพราะไม่สามารถควบคุมหรือสั่งการได้ ข้อพิจารณาในหลักเกณฑ์เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็น หัวใจสำคัญของกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลหลักการปกครองของประเทศ เพราะ ธรรมเนียมการปกครอง ตามจารีตประเพณีไทยตั้งแต่โบราณกาลจะถือหลักการพ่อปกครองลูกผู้อาวุโสจะปกครองผู้ด้อยอาวุโส พระเจ้าอาวาสจะปกครองดูแลเณร

นี่หรือ ภูมิใจมหาดไทย (๒)

ในธรรมเนียมการปกครองของไทยจังหวัดหนึ่งจะมีนายอำเภอดูแลอำเภอการแต่งตั้งนายอำเภอเมืองก็จะดู หรือแต่งตั้งนายอำเภอที่อาวุโสมาเป็นและการแต่งตั้งปลัดจังหวัดก็จะคัดเลือกนายอำเภอเมืองที่อาวุโสขึ้น มาเป็นการคัดเลือกรองผู้ว่าราชการจังหวัดเขาก็จะดูปลัดจังหวัดที่อาวุโส การจะแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เขาก็คัดเลือกรองผู้ว่าราชการที่อาวุโสมาก่อน การแต่งตั้งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยก็จะคัดเลือก จากผู้ว่าราชการจังหวัดที่อาวุโส การแต่งตั้งแบบนี้จึงทำให้ผู้รับแต่งตั้งมีอำนาจในการสั่งการและการยอม รับในปฏิบัติซึ่งการและกันข้อขัดแย้งระหว่างข้าราชการปกครองก็จะไม่มีก็จะบังคับบัญชากันอย่างพี่น้อง ผล ประโยชน์จึงตกแก่ประชาชน กุศโลบายในเรื่องนี้ของกระทรวงมหาดไทยเพื่อรองรับให้ได้มีผู้อาวุโสที่ สมบูรณ์แบบและยอมรับกันโดยพฤตินัยก็คือ การใช้วิธีนำข้าราชการเหล่านี้ผ่านกระบวนการจากโรงเรียน นายอำเภอ และโรงเรียนนักปกครองระดับสูงซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญหากไม่มีความสามารถในระดับก็ยังไม่ เอาเข้าหลักสูตร ดั้งนั้นเมื่อจบหลักสูตรแล้วการแต่งตั้งจึงเป็นไปตามรุ่น

ท่าน มท.2 ครับ เดี๋ยวนี้ท่านลองลงมองดูกระทรวงมหาดไทย หลักนี้ศูนย์ไปหมดแล้วจึงปรากฏหลักการที่ สำคัญคือ ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกน้องนายอำเภอ เผลอแผล็บเดียวเป็นนายของนายอำเภอเข้าตำราเณร ปกครองสงฆ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ได้ความอยากได้ใคร่มีจึงเกิดขึ้นก่อให้เกิดกระบวนการวิ่งเข้าหาทหาร วิ่งเข้าหา พระผู้ใหญ่ วิ่งเข้าหานักการเมืองที่มีอำนาจ ที่สุดแล้วทั้งวิ่งทั้งจ่ายเงินเพื่อให้ได้มา อยากให้ท่าน มท.2 ได้ ย้อนกลับไปเมื่อครั้งได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวาย สัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ว่าอย่างไร

ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้

“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และ ปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

ดังนั้นผมจึงถามว่าท่านมองเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการมหาดไทยในครั้งนี้เป็นไปตามสัตย์ปฏิญาณจริงหรือไม่ มากน้อยเพียงใดไม่มีใครรู้นอกจากตัวท่านเอง

ในเรื่องการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด ,มท.2 ตอบสภาผู้แทนราษฎรว่าเป็นไปตามกฎหมาย และความ เหมาะสม (ของพรรคที่บริหารกระทรวง)

ท่านไม่ได้ตอบถึงคุณธรรมจริยธรรมในการโยกย้ายท่านไปตอบในเรื่องหลักกฎหมายว่าผู้ว่าราชการจังหวัด ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 4 ปี อันนี้เป็นข้อกฎหมาย แต่ในบางกรณีเหตุใดจึงต่ออายุผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นปีที่ 5 เช่น ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเพราะถ้าท่านใช้หลักความรู้ความสามารถแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดอื่นย่อมสามารถมา เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีได้ หรือถ้าไม่มีผู้ว่าราชการจังหวัดคนนี้จังหวัดจะเสียหายหรืออยู่ไม่ได้ ท่านถามประชาชนในจังหวัดสุพรรณบุรีหรือท่านถามนักการเมืองในจังหวัดสุพรรณบุรี

ธรรมเนียมการปกครองที่เหมาะสมผู้ว่าราชการจังหวัดควรจะปฏิบัติหน้าที่ประมาณ 3 ปี เพราะปีแรกมาใหม่ อาจยังคลำทางไม่ถูก ปีที่สองเริ่มวางแนวทางปฏิบัติ ส่วนปีที่สามเป็นห่วงปีเริ่มการพัฒนา หากอยู่เกิน 4 ปี แล้วก็จะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลได้ แต่การที่ปัจจุบันผู้ว่าราชการจังหวัดย้ายกันบ่อยจังหวัดหนึ่งในห้วง2-3ปี ใช้ผู้ว่าราชการจังหวัดเปลืองอยู่ 6-7 เดือนบ้างย้าย อยู่ 1 ปีบ้างย้าย อยู่ 1 ปีเศษบ้างย้าย ท่านได้เคยถาม ประชาชนหรือไม่ ผู้มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายคือ ครม.ที่ให้ความเห็นชอบนั้นถือว่าทุกคนกำลังทำลายระบบ การปกครอง ธรรมจารีตประเพณีของไทยมาแต่เดิมเพียงเพื่อที่จะเอาคนของตนเองไปลงในพื้นที่ของตน เองเท่านั้น

มา ณ วันนี้ไม่ประกาศหลักเกณฑ์การวางระบบการโยกย้ายให้เป็นหลักการเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเลิกพูด ได้แล้วครับว่าผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่ได้ไม่เกิน 4 ปี อันนี้ต้องไปสอนเด็กประถมหนึ่ง

ในท้ายนี้มีคำถามง่ายๆ มีข้อสังเกตจากการแต่งตั้งรองผู้ว่าราชการขึ้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเพราะบางท่า อ่อนอาวุโสกล่าว คือ

1. หลายท่านที่เป็นนักเรียนนายอำเภอ และ นปส. รุ่นแรกๆ ก่อนผู้ได้รับการแต่งตั้งแต่ไม่ได้รับการพิจารณา เช่น นายวรชัย อุดตมชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา นอ.27,นปส.29 นายเกษม วัฒนธรรม รองผู้ว่า ราชการจังหวัดน่าน นอ.27,นปส.28 นายประวัติ รัฐิรมย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นอ.27 นปส.29 นายสุรพล วิชัยดิษฐ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง นปส. 30 นายชวลิต ธูปตาก้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัด นนทบุรี นปส.30 นายชโลธร ผาโคตร รองผู้ว่าราชการจังหัวดยโสธร นปส.30 นายเฉลิมชัย เฟื่องคอนรอง ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูล นปส. 30 นายประจักษ์จิต อภิวาท รองผู้ว่าราชการจังหวัดพนม นปส.30 นายฉลอ ใบเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด นอ.29, นปส.31 ฯลฯ

ผู้ได้รับการแต่งตั้งคราวนี้บางคน จบ นปส.รุ่น 35,37,38,39,40,และ 43 ถามว่าข้ามหัวเหล่านี้ไปได้อย่าง ไร

2. หลายคนที่ดำรงตำแหน่งระดับ 9 มานานนอกจากกลุ่มบนข้างต้นแล้ว เช่น นายวรการ ยกยิ่ง รองผู้ว่า ราชการจังหวัดเชียงใหม่ (รอง ผวจ. ปี 47) นายสุรชัย ศรีสารคาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี (รอง ผวจ.ปี 48 ) นายเกียรติศักดิ์ มูลศาสตร์สาธร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม (รอง ผวจ.ปี 48) นาย แชน ชื่นศิวา รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท (รอง ผวจ.ปี 49) ฯลฯ

ผู้ได้รับการแต่งตั้งคราวนี้บางคนเป็นรองผู้ว่าฯ ปี 2550 ,2551 ก็มถามว่าข้ามหัวเหล่านี้ไปได้อย่างไร หรือ เพราะผู้ที่ไม่ได้รับแต่งตั้งไม่ใช่คนของประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย

หรือเพราะไม่ใช่นักเรียนเน.... นักเรียนโรงเรียน......สยาม หรือเพราะไม่ใช่เด็กเทพ....

อยากจะฝากข้อสังเกตตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.พ.กำหนดให้ท่านรัฐมนตรีและ ครม.ไปทำการบ้านต่อ ว่า

1.บุคคลใดในรายชื่อที่คณะกรรมการเสนอเหมาะสมให้ระบุความเหมาะสมที่จะได้รับแต่งตั้งพร้อมทั้งเหตุผล ของการตัดสินใจดังกล่าวแล้วให้เสนอให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำเสนอ ครม.อนุมัติ

ผมจึงอยากรู้ว่าปลัดคิกคิกได้เสนอเหตุผลของแต่ละคนไว้ว่าอย่างไรถ้ายังไม่ได้ทำแม้ว่าเกษียณแล้ว รีบกลับไปคลองหลอดทำตอนค่ำๆ ก็ได้ เพื่อเขาตรวจสอบจะได้คิกคิกได้

อย่าลืมว่าคณะกรรมการจะต้องบันทึกหลักฐานของการตัดสินใจเพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ผมก็ อยากดูอันนี้ และความประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

2.เมื่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดใช้ดุลพินิจเห็นว่าบุคคลใดในรายชื่อที่ปลัดกระทรวงเห็นว่าเหมาะสมแล้วให้ระบุ ความเหมาะสมที่ได้รับการแต่งตั้งพร้อมทั้งเหตุผลของการตัดสินใจดังกล่าว

อันนี้อย่าลืมทำด้วยน่ะครับถ้ายังไม่ทำก็รีบทำเสีย เพราะอย่างไรศีล 5 ก็ขาดแล้ว /****